อะไรที่ส่งผลต่อราคาทองรูปพรรณที่คุณต้องรู้ก่อนซื้อ

ทองคำสีเหลืองเงางามที่ไม่ได้มีดีเพียงความสวยงามแต่ยังเป็นแร่ที่มีมูลค่าในตัวเองและเป็นที่ยอมรับในตลาดการลงทุนว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่เหมาะแก่การลงทุน นอกจากนี้ยังสามารถนำมาทำเป็นเครื่องประดับซึ่งเรียกกันว่า ทองรูปพรรณ เพื่อสวมใส่และยังเป็นการลงทุนไปในตัวอีกด้วย แต่อะไรที่จะส่งผลต่อราคาทองรูปพรรณที่คุณควรทราบก่อนลงทุน สามารถอ่านได้ที่นี่ ตามมาดูกันเลยค่ะ

ความบริสุทธิ์ของทองคำ

กะรัตแสดงด้วยตัวเลขตามด้วย “K” บ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของทองคำ ซึ่งทอง 24K ถือว่าบริสุทธิ์ ในขณะที่ค่ากะรัตที่ต่ำกว่าบ่งบอกว่ามีโลหะผสม ยิ่งกะรัตสูง ทองคำก็จะยิ่งบริสุทธิ์และมีคุณค่ามากขึ้น แต่ก็จะมีความอ่อนตัวมากไม่เหมาะกับนำมาทำเป็นทองรูปพรรณ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อราคาทองรูปพรรณ

น้ำหนักทองคำ

น้ำหนักของทองคำเป็นปัจจัยพื้นฐานในการกำหนดต้นทุน ร้านทองมักจะคิดราคาทองรูปพรรณเป็นทองต่อกรัม และชิ้นที่หนักกว่าก็จะมีราคาสูงกว่า

ราคาทองคำในตลาด

ตลาดทองคำทั่วโลกมีบทบาทสำคัญในการสร้างพื้นฐานสำหรับราคาทองรูปพรรณ ซึ่งความผันผวนของราคาทองคำเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือความต้องการของตลาด ส่งผลโดยตรงต่อราคาทองรูปพรรณ

การออกแบบและงานฝีมือ

ความซับซ้อนของการออกแบบและระดับของงานฝีมือมีส่วนสำคัญต่อราคาทองรูปพรรณ ผลงานทำมือหรือออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์มักมีราคาสูงกว่า ซึ่งสะท้อนถึงทักษะและศิลปะที่ลงทุนในการสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนั้นขึ้นมา

การเพิ่มอัญมณีอื่นๆ เข้าไป

หากทองรูปพรรณมีการเพิ่มอัญมณีรวมอยู่ด้วย คุณภาพ ความหายาก และขนาดจะส่งผลต่อราคาทองรูปพรรณ โดยอัญมณีที่มักจะเพิ่มเข้าไปในทองรูปพรรณมักจะเป็น เพชร แซฟไฟร์ หรือทับทิม มีส่วนทำให้ทองรูปพรรณดูหรูหราและมีคุณค่ากว่าเดิม

ต้นทุนแรงงาน

ต้นทุนแรงงาน รวมถึงค่าจ้างสำหรับช่างฝีมือผู้ชำนาญและค่าใช้จ่ายการผลิตอื่นๆ ถือเป็นปัจจัยในราคาสุดท้าย ซึ่งส่งผลต่อราคาทองรูปพรรณ เรียกว่า ค่ากำเหน็จ

ภาวะเศรษฐกิจ

ภาวะเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และมูลค่าสกุลเงินมีอิทธิพลต่อราคาทองรูปพรรณได้ ในช่วงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอาจเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้ราคาสูงขึ้น

ราคาทองรูปพรรณนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่ซับซ้อน ตั้งแต่คุณภาพของทองคำไปจนถึงกลไกของตลาดภายนอกและงานฝีมือ การทำความเข้าใจอิทธิพลเหล่านี้ที่ส่งผลต่อราคาทองช่วยให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจเมื่อต้องการซื้อทองรูปพรรณ

วางแผนภาษีปลายปีต้องเตรียมอะไรบ้าง

เผลอแปปเดียวก็ใกล้จะปลายปีแล้ว การเตรียมการวางแผนภาษีตั้งแต่ปลายปีเพื่อยื่นภาษีในช่วงต้นปีเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยควรทำการเตรียมอย่างรอบคอบเพื่อลดโอกาสการผิดพลาดของเอกสารต่างๆ เพื่อไม่ให้ตกหล่นในการลดหย่อนภาษีด้วยวิธีดังนี้:

รวบรวมข้อมูลของรายได้: รวบรวมข้อมูลทุกแหล่งรายได้ของคุณหรือธุรกิจของคุณทั้งหมด รวมถึงรายได้จากเงินเดือน, ธุรกิจ, การลงทุน, และอื่นๆ ที่อาจเข้ามาในรายได้ของคุณในปีนี้.

ระบุค่าใช้จ่าย: ทำการระบุค่าใช้จ่ายที่คุณสามารถลดลงได้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการลงทุน, ค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ, ค่าเรียนการศึกษา, หรือค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ นี่เป็นต้น.

พิจารณาการลดหย่อนภาษี: ตรวจสอบหากมีสิทธิ์ในการลดหย่อนภาษีใด ๆ ที่อาจช่วยลดภาษีได้ เช่น การลดหย่อนภาษีเงินออมกับกองทุนรวม, การสนับสนุนการศึกษา, หรือการสนับสนุนการกุศล ทำให้คุณจะต้องเสียภาษีน้อยลง.

ตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับการนำเสนอภาษี: ตรวจสอบกฎหมายภาษีประเทศไทยเพื่อทราบขั้นตอนการนำเสนอภาษีและกำหนดกำหนดส่งภาษีปลายปี แนะนำให้ติดต่อผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีหรือที่ปรึกษาภาษีเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมหากคุณมีคำถามหรือข้อสงสัย.

จัดทำรายงานภาษี: จัดทำรายงานภาษีที่จำเป็นตามกฎหมายและต้องการ รวมถึงแบบแสดงรายการรายได้และรายการค่าใช้จ่าย.

ส่งภาษี: ทำการส่งเอกสารและชำระภาษีตามกำหนด หากคุณใช้บริการออนไลน์เพื่อส่งภาษี ตรวจสอบว่าคุณได้ทำเป็นอย่างถูกต้องและตามกำหนด.

เตรียมการสำหรับปีภาษีถัดไป: พิจารณาการวางแผนสำหรับปีภาษีถัดไปเพื่อลดหย่อนภาษีในอนาคต นำเสนอกลยุทธ์การเงินที่ดีกว่าและวางแผนการเสริมสร้างสภาพการเงินของคุณ.

การเตรียมภาษีปลายปีนี้เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้คุณมีการเงินที่สมดุลและลดภาระภาษีในอนาคต หากคุณมีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนภาษีของคุณ ควรปรึกษากับนักบัญชีหรือที่ปรึกษาภาษีเพื่อขอคำแนะนำและความช่วยเหลือ หากคุณหาตัวช่วยในการลดหย่อนภาษีการซื้อประกันออมทรัพย์ก็เป็นอีกตัวช่วยหนึ่งที่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน รวมถึงยังเป็นการออมเงินและคุ้มครองชีวิตได้อีกด้วย คุณสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันออมทรัพย์ได้ที่ https://www.kwilife.com/endowment

คนท้องมีวิธีการดูแลผิวอย่างไรบ้าง

การดูแลผิวขณะตั้งครรภ์ควรใส่ใจเป็นพิเศษ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและสภาพร่างกายอาจทำให้ผิวมีปัญหาเกิดขึ้น เรียนรู้เคล็ดลับต่อไปนี้เพื่อดูแลผิวขณะท้อง

ทำความสะอาดผิว: ใช้น้ำอุ่นและสบู่อ่อนโยนเพื่อล้างหน้าทุกวัน เลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีสารเคมีหรือน้ำหอมที่เป็นส่วนผสม

ใช้ครีมกันแดด: ครีมกันแดดเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องใช้ และมีความสำคัญมากในช่วงท้อง เพราะผิวในช่วงตั้งครรภ์มีความไวต่อแสงมากพิเศษและอาจทำให้ผิวหมองคล้ำได้ เป็นไปได้ควรใช้ครีมกันแดดสำหรับคนท้องโดยเฉพาะที่มี SPF 30 หรือสูงกว่าและไม่มีสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อครรภ์

ใช้ครีมบำรุงผิวที่มีความเข้มข้น : แม่ตั้งครรภ์จะเกิดริ้วรอยแตกลายขึ้นในบริเวณหน้าท้องหรือเกิดรอยแตกลายขึ้นนั่นเอง ควรใช้ครีมทาท้องลายตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์ และเลือกส่วนผสมที่มาจากธรรมชาติไม่มีสารเคมี

รักษาระดับความชุ่มชื้น: ใช้ครีมบำรุงผิวที่เหมาะสำหรับสภาพผิวประจำวันเพื่อรักษาระดับความชุ่มชื้นของผิว หากคุณมีผิวแห้งเฉพาะบางส่วน ลองใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวมากขึ้น

ระวังสิว: สิวที่เกิดขึ้นในช่วงครรภ์สามารถเกิดจากการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน ลองใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและไม่มีสารเคมีเสริม.

ดื่มน้ำมากๆ : การดื่มน้ำ เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความชุ่มชื้นของผิวและส่งเสริมสุขภาพผิวในระยะยาว เปล่งปลั่ง ชุ่มชื้น และสร้างความสมดุลในร่างกายได้ เพิ่มความหวานให้ร่างกายสักนิดด้วยการดื่มน้ำผลไม้คั้นสดแบบธรรมชาติ

รับประทานอาหารที่เหมาะสม: อาหารที่ครบถ้วนและมีสารอาหารสำคัญ เช่น วิตามิน C, E, และโอเมก้า-3 สามารถช่วยบำรุงผิวและลดการอักเสบ.

ออกกำลังกายนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: อาการปวดหลัง ปวดไหล่ หรือรู้สึกไม่สบายตัวที่มักเกิดกับคุณแม่ตั้งครรภ์ ส่งผลทำให้นอนไม่ค่อยหลับ หมั่นงีบทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และออกกำลังกายเบาๆ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้ผิวดูดีขึ้น

รักษาสุขภาพทั่วไป: ดูแลสุขภาพโดยรับการตรวจรักษาเป็นประจำและทานวิตามินสารอาหารที่แพทย์แนะนำ.

การดูแลผิวในระหว่างการตั้งครรภ์เป็นเรื่องสำคัญเพื่อความสุขของคุณและทารกในครรภ์ อย่าลังเลที่จะปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหน้าหากคุณมีคำถามหรือกังวลเกี่ยวกับการดูแลผิวขณะท้อง จะเห็นได้ว่าทุกวิธีล้วนเป็นวิธีสุดเบสิก ควรใส่ใจในเรื่องการพักผ่อน การทานผักผลไม้ และใช้ไอเท็มทำความสะอาดหรือบำรุงผิวหน้าแบบธรรมชาติหรือสำหรับคนท้องโดยเฉพาะนั่นเอง

อยากเสริมจมูกเลือกอย่างไรให้ปลอดภัย

หากคุณเป็นหนึ่งคนที่อยากศัลยกรรมจมูกคงมีคำถามและข้อสงสัยมากมายว่าจะเสริมจมูกที่ไหนดี เลือกหมอไหน ราคาเท่าไหร่และเลือกทรงอะไรดี เสริมจมูกเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและมีความเสี่ยงตามมาด้วย ดังนั้น ถ้าคุณสนใจที่จะเสริมจมูก เป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาอย่างรอบคอบและตรงความต้องการของคุณ

เพื่อความปลอดภัยของกระบวนการเสริมจมูก นี่คือขั้นตอนที่ควรทำมีดังนี้

-พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ: ค้นหาแพทย์ศัลยกรรมเสริมจมูกที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดำเนินการ เลือกแพทย์ที่ได้รับการอนุมัติและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

-การประเมินสุขภาพ: แพทย์จะต้องประเมินสุขภาพทั่วไปของคุณเพื่อดูว่าคุณเหมาะสมและพร้อมที่จะทำการเสริมจมูกหรือไม่

-การปรึกษาและวางแผน: ปรึกษากับแพทย์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับความคาดหวังและการวางแผนกระบวนการ เพื่อให้คุณเข้าใจถึงผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ และข้อจำกัดของกระบวนการ

-การศึกษาและค้นคว้า: ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการเสริมจมูก วิธีการดำเนินการ ความเสี่ยง และผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ เพื่อให้คุณมีความเข้าใจและคาดคะเนถึงกระบวนการ

-ตรวจสอบคุณสมบัติของแพทย์: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแพทย์ผู้ดำเนินการเป็นผู้ที่ได้รับใบประกอบวิชาชีพที่ถูกต้องและมีประสบการณ์ในการดำเนินการเสริมจมูก มีใบรับรองอย่างชัดเจนมีความชำนาญเฉพาะทาง

-วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูก : การเสริมจมูกคือการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย วัสดุที่ใช้ต้องมีความปลอดภัยซิลิโคนต้องผ่านการรับรองจาก FDA หรือ อย. ของประเทศผู้ผลิต

-การแพ้ยาและปัจจัยความเสี่ยง: แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับประวัติการแพ้ยา โรคประจำตัว และปัจจัยความเสี่ยงอื่นๆ เพื่อให้คุณได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

-ผลกระบวนการ: ให้คุณรู้ถึงผลลัพธ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังจากกระบวนการ เช่น ระยะเวลาฟื้นตัว, การระบายของแผล, และข้อควรระวังหลังการทำ

-การเลือกวันที่ที่เหมาะสม: ตรวจสอบกับแพทย์เพื่อเลือกวันที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการทำกระบวนการศัลยกรรมจมูก เพื่อให้คุณมีเวลาพักฟื้น

-ขั้นตอนหลังการทำ: รับข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลตัวเองหลังกระบวนการ เช่น การดูแลแผล, ข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว, และการรับประทานอาหาร

หลังจากการผ่าตัดเสริมจมูกควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์และดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะของอิสสวีร์คลินิก ประสบการณ์การผ่าตัดที่ มากกว่า 2,000 เคส วิเคราะห์รูปหน้าในแต่ละคนได้ว่าคุณเหมาะสมกับการเสริมจมูกแบบไหน ที่จะเหมาะสมกับรูปหน้าในแต่ละคน รวมไปถึงการใช้เทคนิคเฉพาะ ในการเหลาซิลิโคนใหม่ทุกเคส เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงาม

ขายทองรูปพรรณทั้งที ควรรู้เรื่องอะไรบ้าง

อยากนำทองรูปพรรณที่มีอยู่ไปขายเพื่อเก็งกำไร ควรศึกษาข้อมูลก่อนหากไม่อยากถูกกดราคา วันนี้เราได้รวบรวมข้อมูลการขายทองรูปพรรณมาไว้ให้คุณแล้ว จะมีอะไรบ้างมาดูกันเลย

1. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับทอง

ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับประเภทของทองก่อน ว่าทองแต่ละประเภทมีความแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งทองมี 2 ประเภท ได้แก่ ทองคำแท่งและทองรูปพรรณ

ทองคำแท่ง

ทองคำแท่งคือทองที่ผลิตในรูปแท่งหรือเม็ดก้อนที่มีความบริสุทธิ์สูง และไม่มีการเพิ่มส่วนผสมของโลหะอื่นๆ ทองคำแท่งมักจะมีลายบนซึ่งบ่งบอกถึงน้ำหนักและความบริสุทธิ์ของทองคำ โดยทั่วไปในประเทศไทยความบริสุทธิ์ของทองจะเป็น 96.5 % เนื่องจากมีความแข็งแรงมากกว่าทองบริสุทธิ์ 99.99%

โดยทางร้านทองจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมหรือค่าบล็อก แต่หากยิ่งซื้อเยอะก็จะไม่คิดค่าบล็อก ทองคำแท่งเป็นทรัพย์สินที่นิยมในการลงทุนหรือเก็บรักษาค่ามูลค่า มักถูกซื้อขายในตลาดทองคำและสถาบันการเงิน

ทองรูปพรรณ

ทองรูปพรรณคือทองที่ถูกนำมาหลอมและออกแบบใหม่ในรูปของเครื่องประดับ  เช่น แหวนทองคำ สร้อยคอทองคำ ต่างหูทองคำ เป็นต้น ทองรูปพรรณมักมีความบริสุทธิ์ต่ำกว่าทองคำแท่ง เหมาะกับการนำมาใส่เป็นเครื่องประดับมากกว่า หากเบื่อเมื่อไหร่ก็สามารถนำไปขายได้ แต่จากการใส่บ่อยๆ หากรักษาไม่ดี อาจทำให้ทองไม่เงางาม เนื้อทองเสื้อหายและน้ำหนักทองขายไป อีกทั้งมีค่ากำเหน็จที่สูงกว่า จึงขายได้ราคาต่ำกว่าทองคำแท่ง

ทองรูปพรรณมีความหลากหลายในรูปแบบและดีไซน์ ผู้ผลิตทองรูปพรรณมักให้ความสำคัญกับความสวยงามและความซับซ้อนของงานประดับ ซึ่งทำให้ทองรูปพรรณเป็นที่นิยมในการใช้งานและให้เป็นของขวัญมากกว่า

2. ตราทองที่มีโลโก้หรือตราสัญลักษณ์ร้านทอง

เพื่อเป็นการการันตีความน่าเชื่อถือของทอง การมีตราโลโก้ของร้านทอง แหล่งผลิต และเปอร์เซ็นต์ทองจะสามารถนำไปขายได้ง่ายกว่า แต่หากขายทองรูปพรรณอาจจะดูยาก เพราะมีขนาดเล็กต้องใช้แว่นขยายส่อง

3. ทองมีน้ำหนักครบ

น้ำหนักทองเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดราคาทองรูปพรรณและทองคำแท่ง หากทองที่นำไปขายมีความเสียหาย เช่น แหวนบุบ ตะขอหัก ใส่ตลอดโดยไม่มีการถอด อาจทำให้น้ำหนักทองหาย และคุณจะได้ราคาตามน้ำหนักที่นำมาขายคืนให้ร้านทองนั่นเอง

4. เช็คราคาก่อนขายทอง

ก่อนขายทองควรเช็คราคาทองรูปพรรณและทองคำแท่งจากสมาคมค้าทองคำก่อนเสมอ เพื่อให้ได้ราคาที่ตรงตามราคาจริง ไม่ถูกกดราคา หรือจะเช็คจากเว็บไซต์อื่นๆที่มีความน่าเชื่อถือ

การขายทองรูปพรรณและทองคำแท่งเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ซึ่งมีความเสี่ยง สำหรับใครที่ต้องการขายทองรูปพรรณและทองคำแท่ง อย่าลืมที่จะศึกษาข้อมูลของการขายก่อนที่จะไปที่ร้านตามที่เราได้รวบรวมมาให้กันนะคะ

Why is apple in Poland the most exported in Europe?

Apple in Poland was one of the most exported in Europe and Poland became the largest apple exporter in Europe. Nevertheless, there are several factors that have historically contributed to Poland’s prominence as an apple exporter

Favorable climate and geographical location

Apples have always been grown in Poland. It has temperate climate and diverse geographical regions provide suitable conditions for apple cultivation. Different apple varieties can be grown across the country, allowing for year-round production and export.

Large apple orchard area

Poland has a significant area of land dedicated to apple orchards, making it one of the leading apple-producing countries in Europe. This large-scale production capacity enables Poland to export substantial quantities of apples.

Modern agricultural practices

Over the years, Polish farmers have adopted modern and efficient agricultural practices, including advanced technologies and methods of cultivation. These practices have led to increased productivity and improved the overall quality of apples produced.

Competitive production costs

Poland’s relatively lower production costs compared to some other European countries give it a competitive edge in the international market. This cost advantage allows Polish apple growers to offer competitive prices to buyers in Europe and beyond.

Access to the EU Single Market

As a member of the European Union (EU), Poland benefits from access to the EU Single Market, which simplifies trade procedures and reduces trade barriers within the bloc. This has facilitated the export of Polish apples to other EU countries.

Diversification of apple varieties

Poland cultivates a wide range of apple varieties, catering to different tastes and preferences of consumers across Europe. This diversity helps Poland appeal to a broader market. Some popular varieties grown in Poland include Idared, Jonagold, Golden Delicious, Gala, and Szampion (Champion), among others.

Investment in storage and logistics

Poland has invested in modern storage facilities and efficient logistics networks to preserve the quality of apples during transportation. This ensures that Polish apples reach their destination markets in good condition and stay competitive.

Rising global demand for healthy products

With the growing global awareness of health and nutrition, apples are considered a healthy and nutritious fruit, leading to increased demand in both domestic and international markets. Poland’s ability to meet this demand contributes to its export success.

As mentioned earlier, Poland is a significant exporter of apples to other European countries and beyond. The country’s export of apples has been fueled by factors such as favorable production conditions, competitive prices, and access to the EU Single Market. It’s important to note that economic conditions, trade agreements, and other factors can change over time, impacting the dynamics of apple exports from Poland.

เลือกประกันออมทรัพย์ให้ตอบโจทย์ต่อชีวิต

อยากมีเงินเก็บต้องทำอย่างไรและมีวิธีอะไรบ้าง คงเป็นสิ่งที่ใครหลายคนต่างหาวิธีที่จะทำให้ตัวเองมีเงินเก็บและยังมีอีกหนึ่งวิธีที่สามารถทำได้และมีเงินเก็บเช่นกัน นั่นก็คือประกันออมทรัพย์ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ต้องการมีเงินเก็บ แต่ยังช่วยเพิ่มความมั่นคง พร้อมยังทำหน้าที่เป็นประกันลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย

ประกันออมทรัพย์ คืออะไร?
เป็นประกันออมทรัพย์อีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นทางด้านการเงิน พร้อมรับกับความคุ้มครองไปพร้อมๆกันด้วย เมื่อส่งเบี้ยประกันครบตามระยะเวลาที่ระบุในกรมธรรม์ ประกันก็จะจ่ายเงินคือให้แบบครั้งเดียว ไม่สามารถถอนออกมาใช้ก่อนได้ ถ้าหากเกิดการเสียชีวิตระหว่างส่งกรมธรรม์ คนที่ระบุชื่อไว้ในกรมธรรม์ก็จะได้รับเงินก้อนตามที่ระบุไว้ในสัญญา

ข้อดีของ ประกันออมทรัพย์
-ประกันออมทรัพย์เป็นการออมเงินที่มีผลตอบแทนแน่นอน จะรู้ว่าได้รับสิทธิประโยชน์ทั้งหมดเท่าไหร่ตั้งแต่ก่อนที่จะเซ็นต์สัญญา ยิ่งเราส่งเบี้ยประกันเยอะผลตอบแทนก็ยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
-เป็นการลงทุนในรูปแบบการออมเงินที่มีความเสี่ยงที่ต่ำมากๆ แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีความเสี่ยงเลยก็ได้ และยังได้รับความคุ้มครองชีวิตด้วย เป็นประกันที่อยู่ตรงกึ่งกลางระหว่างประกันชีวิต และการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทน
-เป็นการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวเอง และคนข้างหลัง (กรณีที่เสียชีวิตระหว่างส่งกรมธรรม์)
-ทำให้มีเงินก้อนไว้ใช้ในอนาคต เป็นอีกหนึ่งแผนการเกษียณ
-ผลตอบแทนของ ประกันออมทรัพย์ ไม่เสียภาษีเหมือนดอกเบี้ยเงินฝากปกติ
-ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี ได้สูงสุดถึง 100,000 บาท

เลือกซื้อประกันออมทรัพย์ที่คุ้มค่าที่สุด
วิธีเลือกซื้อที่ง่ายที่สุดนั่นก็คือ ให้คำนวณเบี้ยประกันทั้งหมดที่ต้องส่งวาเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่และจะได้รับเงินคืนเท่าไหร่ จากนั้นนำมาหารด้วยระยะเวลาทั้งที่ต้องเบี้ยประกัน และจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเงินที่ได้กลับคืนมาเป็นเท่าไหร่ ลองเปรียบเทียบกับหลายๆ บริษัทและตรงกับความต้องการของคุณหรือไม่ อย่าลืมดูทุนประกันด้วยนะคะ โดยเลือกสิ่งที่คุ้มค่าในแบบที่คุณต้องการมากที่สุด

อย่างไรก็ตาม การเลือกประกันออมทรัพย์ควรพิจารณาแผนการออมเงินและเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียด และควรเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ต่างๆ ก่อนตัดสินใจเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับความต้องการและสถานการณ์การเงินของคุณ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันออมทรัพย์ได้ที่ https://www.kwilife.com/endowment

สร้างความชุ่มชื้นให้ผิวคุณแม่ตั้งครรภ์

จะเห็นได้ว่าในช่วงตั้งครรภ์คุณแม่จะมีปัญหาผิวที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ตัวการสำคัญคือฮอร์โมนสูงขึ้น ทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ส่งผลให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

1.ผิวผื่นแดงแสบคัน คุณแม่ควรบำรุงด้วยครีมหรือโลชั่นที่เป็นสูตรธรรมชาติและมีความอ่อนโยนต่อผิว อาจส่งผลต่ออาการแพ้ท้องได้ หากมีผื่นแดงขึ้นกระจายเป็นวงกว้างหรือมีลักษณะเป็นตุ่มๆ จนดูผิดปกติ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สามารถเกิดขึ้นได้ระหว่างตั้งครรภ์

2.ผิวหมองคล้ำ โดยเฉลี่ยแล้ว 90% คุณแม่ตั้งครรภ์จะมีสีผิวที่เข้มกว่าเดิม เช่น บริเวณรักแร้ คอ เส้นกลางหน้าท้อง ปัญหาเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนที่คอยกระตุ้นให้สีผิวเข้มขึ้นกว่าเดิม แก้ไขปัญหาได้ด้วยการพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมบำรุงผิวปรับสภาพผิวให้กลับสู่สภาพเดิม

3.ผิวขาดน้ำ ปกติแล้วคุณแม่หลังคลอดจะเผชิญกับภาวะผิวขาดน้ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากร่างกายจะมีการขับเอาน้ำที่สะสมในระหว่างตั้งครรภ์ออกไป จึงทำให้อาการบวมน้ำของร่างกายคุณแม่น้อยลง และส่งผลต่อสุขภาพผิว แก้ไขได้ด้วยการเติมน้ำให้ผิว พยายามดื่มน้ำให้มากๆ เพื่อเป็นการทดแทนน้ำในร่างกายที่เสียไป

4.ผิวหย่อนคล้อย แก้ไขได้ด้วยการออกกำลังกายที่ช่วยกระชับผิว ควรออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น เดินช้าๆ หรือเล่นโยคะ เพราะจะช่วยความกระชับให้กล้ามเนื้อท้อง กล้ามเนื้อต้นขา และช่วยความแข็งแรงให้ผิวหนัง

5.ผิวแตกลาย ช่วงตั้งครรภ์ผิวคุณแม่จะเกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยตามขนาดตัวของทารกในครรภ์ จึงทำให้เกิดผิวแตกลายตามมา สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ครีมทาท้องทาย เพื่อเป็นการคืนความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และแก้ไขปัญหาผิวแตกลายได้ดี

6.ผิวไวต่อแสง ถ้าจำเป็นต้องทำงานนอกบ้าน และต้องเจอกับแสงแดดบ่อยๆ อาจทำให้ผิวดำคล้ำ เป็นรอยด่าง รอยดำ ผิวไวต่อแสงเป็นเพราะฮอร์โมนในช่วงตั้งครรภ์พุ่งพล่าน ทำให้ผิวไวต่อแสงเป็นพิเศษ ถ้ามีปัญหานี้ควรทาผิวที่มีสารกันแดด SPF 30 ขึ้นไป

ครีมทาผิวคนท้อง Zeblanc ผลิตภัณฑ์สำหรับคุณแม่ ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เหมาะสมกับผิวหน้าระหว่างตั้งครรภ์ และได้พบว่า ครีมบำรุงผิวหน้าเกือบ 100% จะมีสารบางอย่างที่ไม่เหมาะกับคนท้อง จึงได้ปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง จนพัฒนามาเป็นสูตรผลิตภัณฑ์ที่ลงตัว ด้วยส่วนประกอบที่ปลอดภัย ไม่มีสารระคายเคือง ไม่มีสารต้องห้ามในช่วงตั้งครรภ์ และให้นมบุตร และที่สำคัญยังเห็นผลชัดเจน กับทุกปัญหาผิวในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย

แก้ปัญหาตาไม่เท่ากัน ด้วยศัลยกรรมตาสองชั้น

ปัญหาเกี่ยวกับตาสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ตาทั้งสองข้างไม่เท่ากัน การทำตาสองชั้นก็เป็นอีกตัวช่วยตัวช่วยที่แก้ปัญหาได้ ศัลยกรรมตาสองชั้นเป็นกระแสที่ไม่เคยตกเทรนด์ ในทุกวันนี้ก็มีเทคนิคใหม่ๆ ที่ช่วยให้แก้ปัญหาของชั้นตาได้

เทคนิคทำตาสองชั้น ที่นิยมในคนไทย
เทคนิค ทำตาถึงแม้จะมีหลายชื่อ ที่ทำให้สับสน แต่จริง ๆ แล้วก็มี 3 วิธีหลัก ๆ เท่านั้นเองค่ะ ที่นิยมทำในคนไทย

1.วิธีเย็บ (suturing technique)
วิธีนี้เป็นการเย็บ 3 จุด เหมาะสำหรับคนไข้ที่ไม่ได้มีหนังตาเกิน และมีปัญหาค่อนข้างน้อย ข้อดีคือ ใช้การเย็บเพื่อทำให้เกิดช้ั้นตาโดยไม่ต้องกรีดแผล จึงมีแผลน้อย ฟื้นตัวเร็ว แต่อาจจะมีปัญหาตามมาได้มากกว่าวิธีอื่น เช่น ไหมหลุดก่อนกำหนด การแพ้ไหมที่เย็บ เป็นต้น

2.วิธีกรีดแผลสั้น (short incision)
เทคนิคนี้ นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน ทำโดยการกรีดแผลเล็ก ๆ ประมาณ 1 cm บริเวณเปลือกตา แล้วเย็บกล้ามเนื้อด้านใน เหมาะสำหรับคนที่ อายุไม่มาก ไม่มีหนังตาส่วนเกิน ข้อดีคือ แผลเล็ก ฟื้นตัวเร็ว และยุบบวมได้เร็วกว่า เมื่อเทียบกับการเปิดแผลยาว และผลอยู่ได้ถาวรมากกว่าวิธีเย็บ

3.วิธีกรีดแผลยาว (standard incision)
วิธีนี้ ทำได้ในคนไข้ทุกคน เหมาะกับคนที่มีปัญหาหนังตาเกิน ไม่เหมาะกับการกรีดแผลเล็ก หรือต้องการเส้นตาที่ชัด สามารถทำไปพร้อมกับการแก้กล้ามเนื้อตาตกหรือยกคิ้ว วิธีนี้ได้ผลลัพธ์ดี แต่จะมีอาการบวม ช้ำนานกว่า ต้องพักฟื้นนานกว่า 2 วิธีแรก

ข้อควรรู้และการเตรียมตัวก่อนทำตาสองชั้น
-ตรวจเช็คเกี่ยวกับโรคประจำตัว
-หยุดอาหารเสริมประมาณ 3 สัปดาห์ เนื่องด้วยอาหารเสริมบางอย่างอาจจะมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด
-การผ่าตัดจะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
-ไม่ต้องนอนพักฟื้น
-มาพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คและตัดไหมหลังจากการผ่าตัด 7 วัน หลังตัดไหมสามารถแต่งตาได้ตามปกติ
-จะเริ่มยุบบวมใน 1-2 สัปดาห์
-เข้าที่ภายเวลา 3 เดือน

ความสวยงามของดวงตามีความสำคัญมาก ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพ หากคุณสนใจวิธีศัลยกรรมตาสองชั้นแนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้แพทย์เป็นผู้ประเมินวิธีทำตาสองชั้น ว่าเหมาะกับเทคนิคแบบไหนที่เข้ากับรูปหน้าของตนเอง อิสสวีร์คลินิกมีบริการทำศัลยกรรมตาสองชั้น โดยคุณหมอนุ่น แพทย์หญิงวรางคณา ตันอารีย์ อาจารย์แพทย์ศัลยกรรมตกแต่งเฉพาะทาง ราคาเพียง 25,000 บาทเท่านั้น ทั้งที่ทั้งนั้นสามารถเข้ามาปรึกษาคุณหมอได้ฟรีนะคะ

ประกันชีวิตควรเริ่มซื้อตั้งแต่อายุเท่าไหร่

การซื้อประกันชีวิตนั้นเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และวัตถุประสงค์ของแต่ละบุคคล อย่างไรก็ตามซื้อประกันชีวิตตามช่วงอายุอาจมีประโยชน์มาก แต่ละช่วงอายุมีปัจจัยเสี่ยงที่ต่างกัน เช่น ประวัติการเจ็บป่วยหรือสุขภาพที่ไม่ดี ทำให้เบี้ยประกันอาจถูกนำมาคำนวณเป็นเบี้ยที่ต่ำกว่า

ถือว่าอายุประมาณตั้งแต่ 20 ถึง 30 ปีเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการเริ่มซื้อประกันชีวิต ซึ่งในช่วงนี้คุณยังอาจมีความต้องการเงินที่มากขึ้น เช่น เมื่อมีบุตร หรือกำลังจะซื้อบ้านหรือรถ การซื้อประกันชีวิตในอายุนี้จะช่วยให้คุณได้รับการคุ้มครองทางการเงินในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น การเสียชีวิตหรือการพิการที่ทำให้ไม่สามารถทำงานได้

อย่างไรก็ตามการตัดสินใจซื้อประกันชีวิตยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์และวัตถุประสงค์ของแต่ละบุคคล ควรพิจารณาความต้องการและสภาพการเงินของคุณเอง การปรึกษากับที่ปรึกษาการเงินหรือนักประกันชีวิตอาจเป็นประโยชน์อีกด้วย เพื่อให้คุณทำการวางแผนการเงินในอนาคตได้อีกด้วย

ประกันชีวิตตามอายุ

ประกันชีวิตมีหลายประเภทและแบบต่าง ๆ ซึ่งอาจมีอายุสำหรับการเข้ารับประกันที่แตกต่างกันไป ต่อไปนี้คือตัวอย่างของอายุที่เหมาะสมสำหรับการซื้อประกันชีวิตแบบต่าง ๆ แต่อายุที่แนะนำอาจแตกต่างขึ้นอยู่กับบริษัทประกันและแผนประกันที่คุณสนใจ

• ประกันสุขภาพ & ประกันอุบัติเหตุ : วัยเด็กอายุ 0 – 20 ปี สำหรับเด็กๆ อาจจะไม่ใช่วัยที่เริ่มมองหาการทำประกันเอง แต่เป็นผู้ปกครองที่จัดการให้ วัยนี้เหมาะกับการทำประกันสุขภาพและประกันอุบัติเหตุเอาไว้ เพราะภูมิคุ้มกันต่ำ เบี้ยประกันสุขภาพในวัยเด็กจะค่อยข้างสูง แต่คุ้มค่าที่พ่อแม่จะทำไว้ให้ลูกเพื่อช่วยค่ารักพยาบาลหากเจ็บป่วย

ประกันชีวิตประเภทชีวิตคู่หรือส่วนแบ่งผลประโยชน์: สำหรับคู่สมรสหรือคนที่มีรายได้ร่วมกัน, อายุที่เหมาะสมอาจอยู่ระหว่าง 25-35 ปี เนื่องจากอยู่ในช่วงทำงานและมีความต้องการการคุ้มครองสำหรับคู่สมรสและบุตรได้ในช่วงนี้

ประกันชีวิตแบบครอบครัว: การซื้อประกันชีวิตสำหรับครอบครัวสามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่วัยเยาว์ แต่มากที่สุดอยู่ระหว่าง 25-35 ปี เพื่อให้คุณได้รับความคุ้มครองสำหรับคู่สมรสและบุตรที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

• ประกันชีวิตสำหรับการเงินเพื่อการเลี้ยงชีพหลังเกษียณ: หากคุณสนใจในการสร้างก้อนทุนเพื่อการเลี้ยงชีพหลังเกษียณ, อายุที่เหมาะสมในการเริ่มต้นการซื้อประกันชีวิตแบบนี้อยู่ระหว่าง 30-40 ปี เพื่อวางแผนชีวิตในวัยเกษียณ

หากคุณกำลังเริ่มสนใจทำประกันชีวิต เริ่มต้นด้วยความพร้อม มีการวางแผนชีวิต วางแผนการเงินให้ตัวเองและครอบครัวอ การซื้อประกันเป็นเพียงเครื่องมือหนึ่ง เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายชีวิตในแต่ละช่วงวัย ซึ่งแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน ลองวางแผนและเลือกให้เหมาะสมกับตัวเอง สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันชีวิตได้ที่ https://www.kwilife.com/